ค่านิยมที่มีในปัจจุบันคุณแม่มักจะเลือกฝากครรภ์กับโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง

เมื่อคุณแม่ตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์ทันที เพราะเมื่อไปฝากครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะและแนะนำการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม เพื่อให้ครรภ์สมบูรณ์แข็งแรง ป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น สำหรับการเลือกสถานพยาบาลที่ฝากครรภ์ ควรเป็นที่ที่สะดวกในการเดินทาง โดยใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน จะทำให้สะดวกในการฝากครรภ์ เนื่องจากจำเป็นต้องตรวจครรภ์เป็นระยะๆ ระหว่างฝากครรภ์ การฝากครรภ์ ค่านิยมที่มีในปัจจุบันคุณแม่มักจะเลือกฝากครรภ์กับคุณหมอที่มีชื่อเสียง ซึ่งบางครั้งต้องเดินทางไกล หมอท่านมีคนไข้มาก ไม่มีเวลาดูแล คุยกันได้เดี๋ยวเดียวหมดเวลาจึงสร้างความลำบากและไม่เหมาะสม หากจะแนะนำการเลือกคุณหมอและสถานพยาบาล แนะนำว่าในกรณีที่มีคุณหมอประจำอยู่แล้ว ให้เรียนปรึกษาขอคำแนะนำจากคุณหมอประจำได้ หากไม่มี แนะนำให้เลือกก่อนว่าจะฝากครรภ์ที่ไหน โรงพยาบาลรัฐบาลหรือเอกชน ซึ่งสามารถเลือกได้แล้วแต่กำลังทรัพย์และความต้องการความสะดวกสบาย โรงพยาบาลรัฐบาล ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์และการคลอดราว 1,000-4,000 บาท สำหรับการคลอดทางช่องคลอดปกติและ 5,000-10,000 บาท สำหรับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง

สำหรับโรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์และการคลอดราว 25,000-50,000 บาท สำหรับการคลอดทางช่องคลอดปกติและ 35,000-80,000 บาท สำหรับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หากเลือกโรงพยาบาลรัฐบาล เมื่อไปฝากครรภ์และพบแพทย์ ก็จะได้รับการดูแลตามปกติซึ่งอาจจะพบกับคุณหมอหลายๆ ท่าน ในแต่ละครั้งของการนัดและการคลอด แต่หากต้องการตรวจและคลอดกับคุณหมอท่านใดท่านหนึ่งเป็นพิเศษ คงต้องเรียนปรึกษาคุณหมอท่านนั้นหรือฝากพิเศษซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างคุณหมอและผู้ฝากครรภ์นั้นๆ เนื่องจากเป็นความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ข้อจำกัดของการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลของรัฐบาลก็คือ ผู้ป่วยมาก รอนาน แม้จะมีการปรับปรุงพัฒนาเรื่องการให้บริการแล้วก็ตาม การตรวจที่คลินิกนอกเวลาราชการก็เป็นทางออกทางหนึ่ง หากเลือกโรงพยาบาลเอกชน ในกรณีที่มีคุณหมอประจำอยู่แล้วจากโรงพยาบาลรัฐบาลหรือเอกชนก็แล้วแต่ ควรปรึกษาหมอเพื่อเลือกสถานพยาบาลที่พร้อม มีการประกันคุณภาพการรักษาสะดวกและใกล้บ้านถ้าไม่มีคุณหมอประจำอาจพิจารณาเลือกตรวจกับคุณหมอท่านใดท่านหนึ่งก่อน หากพูดคุยกันรู้เรื่องสามารถให้คำปรึกษาได้ดีก็ขอฝากเป็นคนไข้ประจำ หากมีปัญหาเรื่องการสื่อสารคุยกันไม่รู้เรื่อง อาจพิจารณาขอเปลี่ยนคุณหมอได้เพราะเป็นสิทธิของผู้ป่วยอยู่แล้ว